Where do you want to travel?
Your journey will lead you to famous domestic and foreign beauty spots.
Your journey will lead you to famous domestic and foreign beauty spots.
ก่อนไปเที่ยวครั้งนี้ตัดสินใจอยู่นานว่าจะไปดีมั้ยน้า ประเทศนี้มีอะไรน่าสนใจ ไปก็ยาก ดูท่าทางจะลำบากด้วย แต่พอได้ไปแล้ว ความคิดที่เคยคิดมาเปลี่ยนไปหมดเลย รู้สึกว่าคิดถูกมากที่ตัดสินใจมาเที่ยวครั้งนี้
ทริปนี้เราควบสองประเทศคือไปอิตาลีกับโมรอคโคค่ะ ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 12 วัน เที่ยวที่ โมรอคโค 5 วัน และที่เหลืออยู่ที่อิตาลีค่ะ
-การเดินทาง-
เราลองหาตั๋วบินตรงไปโมรอคโค มีแต่ราคา 3 หมื่นกว่าทั้งนั้นเลย เราก็เลยจองตั๋วไปลงมิลานก่อน แล้วค่อยนั่งสายการบิน Low cost ต่อไปที่โมรอคโค เราได้ตั๋วของสายการบิน Oman Air ไป-กลับ กรุงเทพ มิลาน 21,150 บาท และ ไป-กลับ มิลาน มาราเกซ สายการบิน Easy jet ประมาณ 8,xxx บาท (เราจำราคาเป๊ะๆไม่ได้ค่ะ แต่แนะนำให้จองเนิ่นๆจะได้ราคาถูกกว่านี้ค่ะ)
-ที่พัก-
รอบนี้ทางทัวร์ของ Best of Morocco Tour จัดการจองที่พักให้เราหมดเลย ก็เลยไม่ต้องหาเอง แต่เรามีแจ้งเค้าไปว่าขอพักแบบริยาด (Riad) ด้วย จะได้เข้าถึงสไตล์โมรอคโคอย่างแท้จริง เค้าก็จัดให้ค่ะ
-อากาศและการแต่งกาย-
เราไปช่วงต้นเดือน พค. ซึ่งถือว่าเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิของที่นี่ อากาศอยู่ประมาณ 18-24 องศา ซึ่งถือว่าอากาศดีที่สุดในรอบปี ช่วงเช้าและกลางคืนจะหนาวหน่อย แต่กลางวันก็ร้อนได้ใจเลย ใครจะแพลนมาเราแนะนำมาช่วงนี้ก็ดีนะคะ
ส่วนการแต่งตัว เราใส่เป็นชุดขาสั้นตลอดเลย ถ้าใครกลัวดำ แนะนำหาผ้าคลุมมาด้วยก็ดีนะคะ ส่วนสีที่ควรใส่ ก็แล้วแต่สถานที่เลย ถ้าเป็นคนเยอะๆเวิ่นๆแบบเรา แนะนำให้แต่งตัวให้แมทช์กับสถานที่ก็จะคลุมโทนได้ดีค่ะ
Notes: สิ่งที่ต้องเตรียมไปแบบขาดไม่ได้คือ กระติกน้ำส่วนตัว กระดาษทิชชู่ และทิชชู่เปียก ค่ะ
-มาเริ่มเที่ยวกันเลยดีกว่าค่า-
วันแรก Marrakesh
พอลงเครื่องปุ๊บ สิ่งแรกที่คิดคือ ประเทศนี้มันสวยงาม สะอาดกว่าที่คิดเยอะเลย ตื่นตะลึงกับสนามบินมาก
หลังจากรับกระเป๋าเสร็จ ก็ไปแลกเงินกัน เราแลกไว้คนละประมาณ 3 พันบาท (ค่าทัวร์ไม่รวมอาหารกลางวันค่ะ) ความจริงไม่พอหรอกค่ะ แต่กลัวแลกแล้วเงินเหลือ ถ้าเงินไม่พอ ร้านส่วนใหญ่ที่นี่เค้านับเงินยูโรค่ะ
Notes: สกุลเงินที่นี่ใช้สกุล Dirham คิดคร่าวๆคือ 10 DH เท่ากับ 1 Euro ค่ะ
แลกเงินเสร็จเดินออกมาก็มีคนถือป้ายรอรับพวกเราที่หน้าประตูเลยค่ะ คนขับเราผู้นี้จะเป็นคนที่ดูแลพวกเราตลอด 5 วัน พี่เค้าชื่อ Abdelghani แต่เราขอเรียกเค้าว่า “ลูกพี่” ละกันนะคะ เพื่อความเข้าใจง่าย 555
รถสุดหรูคันนี้แหละค่ะ ที่จะพาพวกเราเที่ยวตลอด 5 วันนี้ เป็นรถ 6 ที่นั่ง ซึ่งพวกเรานั่งกันแค่ 4 คน ก็เลยสบายสุดๆค่ะ
พอรับพวกเราเสร็จลูกพี่ก็ขับรถพาพวกเราเข้าเมืองมาราเกช เพื่อเริ่มเที่ยวกันเลย ออกจากสนามบินประมาณ 20 นาทีก็ถึงเมืองละค่ะ เมืองมาราเกซ จะแบ่งออกเป็น เมืองใหม่กับเมืองเก่าหรือ Medina ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบเมืองเก่าอยู่ พอเข้าไปถึงเมดิน่า ก็มีไกด์ท้องถิ่นมารอรับพวกเรา และพาพวกเราเดินเที่ยวในเมืองค่ะ ที่แรกเค้าพาพวกเราเดินไปที่พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) เป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa อัครมหาเสนาบดีค่ะ
จากนั้นก็เดินต่อไปที่สุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียน (Saadian Tombs) ซึ่งเป็นหลุมฝังศพของกษัตริย์
ผนังด้านบนก็ตกแต่งสวยงาม ประณีตมาก
ตอนนั้นก็ถึงเวลาเที่ยงพอดี ไกด์ถามพวกเราว่าอยากกินอะไร เราก็บอกว่าเอาอาหารท้องถิ่นที่อร่อยๆละกัน ขอราคาไม่แพงนะ เค้าก็จัดให้ค่ะ พาไปร้านท้องถิ่นมากๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย มื้อแรกของพวกเราก็หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ รสชาติโอเคเลยนะคะ ราคาตกคนละประมาณ 300 บาทค่ะ
หลังจากนั้นลูกพี่ก็มารับพวกเราไปที่สวนจาร์ดีน มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือ สวนอีฟส์ เเซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent Gardens) กันต่อ พอไปถึงข้างหน้า คิวซื้อตั๋วคือยาวมาก ใครที่มาเองเผื่อเวลานิดนึงนะคะ จะต้องรอประมาณครึ่งชั่วโมงขึ้นไป
อ้อ หลังจากนี้เค้าก็ปล่อยเราเดินในสวนเองนะคะ ไกด์ท้องถิ่นก็หมดหน้าที่แล้ว ขอถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกซักภาพค่ะ
สวนนี้ร่มรื่นมาก เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ และต้นกระบองเพชร
ตึกถูกตกแต่งเป็นสีน้ำเงิน เหลือง ถ่ายรูปตรงไหนก็สวยไปหมด
ด้านในมีพิพิธภัณฑ์ของ Yves Saint Laurent ค่ะ
หลังจากเดินเสร็จก็ถึงเวลาต้องเดินทางต่อ นั่งรถยาวๆไปอีก 700 โล ยาวนานมากกกก และข้างทางก็แห้งแล้งมาก กว่าจะถึงก็เกือบสามทุ่มแล้ว สงสารลูกพี่มาก แต่ก็สงสารตัวเองด้วยเพราะยังไม่ได้กินอะไรเลย เมืองที่เราเดินทางมาชื่อเมือง Martill ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่ใกล้กับเมืองที่เราจะไปเที่ยวพรุ่งนี้ พอเอากระเป๋าไปเก็บลูกพี่ก็พาพวกเราเดินไปกินอาหารกัน ตอนนั้นก็ลุ้นมากว่าจะกินได้มั้ยนะ หิวก็หิว แต่ก็ไม่มีทางเลือกละ ตอนนั้นกินอะไรก็ได้แล้ว เดินไปไม่ไกลก็ถึงร้านอาหารค่ะ ชื่อร้านอะไรก็จำไม่ได้ แต่เราถ่ายรูปอาหารมาให้ดูนะ
อันนี้เป็น คร็อกเก้ปลา รสชาติก็แปลกๆดีค่ะ
จานหลักมาแล้ว สุดยอดซีฟู้ด เยอะมาก และอร่อยมากก เยอะมากจนกินไม่หมดเลย
หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันเข้าที่พักค่ะ
วันที่สอง Chefchaouen – Fes
ตื่นเช้ามาก็มาทานอาหารเช้าที่โรงแรมกันค่ะ อาหารเช้าที่นี่ส่วนใหญ่คือขนมปัง โรตี และไข่ต้ม (มีไข่ต้มคือรอดแล้ว น่าเสียดายน่าจะเอาซีอิ๊วมา)
มีชามินต์ให้ดื่มด้วย ชาที่นี่เค้าทานแบบใส่น้ำตาลค่ะ อร่อยดี
กินเสร็จก็เดินทางต่อค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อไปที่เมืองเชฟชาวเว่น (Chefchaouen) เมืองที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยสีฟ้า ระหว่างทาง ไม่อาจละสายตาได้จริงๆค่ะ คือทางไปเมืองนี้เป็นวิวเขา Atlas (Rif mountains Oued law) สวยงามมาก ถ้าไม่รู้นี่นึกว่าอยู่สวิสนะเนี่ย ถ่ายรูปจนเมมมือถือจะเต็มเอา นี่แค่วันที่สอง 555
จากนั้นลูกพี่ก็พาพวกเราไปแวะชมวิวน้ำตก Cascades d’Akchour
นั่งต่อไปไม่นานก็ถึงจุดหมายละค่ะ จุดสังเกตคือทุกอย่างเป็นสีฟ้าไปหมด พอลูกพี่จอดรถเสร็จ ก็พาพวกเราไปหาไกด์ท้องถิ่นค่ะ เค้าใช้เวลาพาพวกเราเดินในเมืองประมาณ 2 ชั่วโมง ไกด์บอกว่า คนที่นี่ไม่ชอบให้ไปถ่ายรูปพวกเค้า ถ้าจะถ่ายจริงๆให้ถ่ายเร็วๆ ไม่งั้นเค้าจะมาเก็บเงินเราค่าถ่ายรูป (แบบนี้ก็ได้หรอ??) เราก็เลยไม่พยายามถ่ายให้ติดคนค่ะ
วันนี้ที่นี่มีตลาดสดพอดี เมืองก็เลยค่อนข้างจะครึกครื้นเป็นพิเศษ ไกด์บอกว่าทุกวันจันทร์จะมีตลาดสดแบบนี้ค่ะ
คนที่เห็นในรูปนั่นคือไกด์ของพวกเราเองค่ะ เดินนำทางอย่างคล่องแคล่วมาก
เมืองที่นี่เล็กๆค่ะ แต่ถ้าเดินเองคงจะหลง เพราะมีตรอกซอกซอยเยอะมาก ประตูบ้านแต่ละหลังก็จะมีหน้าตาไม่เหมือนกัน เป็นเสน่ห์อีกแบบของที่นี่ น่ารักมากๆค่ะ
ตามตรอกซอกซอยก็จะมีร้านค้าขายเสื้อผ้า ของกระจุกกระจิก เต็มไปหมด
อดใจไม่ไหว ขอซื้อ Magnet เป็นที่ระลึกซักหน่อย เค้าบอกว่าเป็นงานแฮนด์เมดด้วยนะคะ ชิ้นนึงไม่ถึงร้อยบาทเลย
อันนี้ประตูบ้านคนนะคะ บ้านแต่ละหลัง ก็จะมีประตูรูปทรงแตกต่างกันไป
เดินเจอน้องคนนี้ยืนอยู่หน้าประตูเลยขอเค้าถ่ายรูป น้องน่ารักมากๆเลยค่ะ
ขนาดกำแพงยังสวยเลย เมืองอะไรเนี้ยย
หลังจากนั้นไกด์ก็พาเราไปกินอาหารท้องถิ่นแบบโมรอคโคขนานแท้ รสชาติเราขอผ่านค่ะ เราไม่ค่อยถูกปากซักเท่าไหร่ แต่ร้านคือน่ารักดี ก็ให้อภัยได้
เรียกว่าซุปอะไรไม่รู้ แต่กินแรงมากค่ะ ทานไม่ไหว
อันนี้เป็นอาหารท้องถิ่นของที่นี่ เรียกว่า Chicken Targine อันนี้โอเคค่ะ รสชาติเหมือนข้าวหมกไก่
จากนั้นก็ได้เวลาบอกลาเมืองน่ารักแห่งนี้และเดินทางต่อไปที่เมือง Fes ซึ่งเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโมรอคโคค่ะ
กว่าจะเดินทางมาถึงเมือง Fes ก็เกือบๆ 6 โมงเย็นแล้วค่ะ ไปถึงไกด์ท้องถิ่นก็มารอรับเรา ไม่พูดพร่ำทำเพลง พาพวกเราเดินดุ่ยๆไปใน Medina เพื่อไปดูโรงฟอกหนังที่เก่าแก่ที่สุดของโมรอคโค
จากนั้นก็พาพวกเราเดินเข้าตามตรอกนั้น ออกตรอกนี้ เดินจนมึนไปหมด เมืองนี้ค่อนข้างที่จะเก่าแก่มาก บรรยากาศแอบน่ากลัวนิดๆ เรานี่ไม่กล้าเดินห่างจากไกด์เลยค่ะ ที่เมืองเฟซ มีตรอก หรือที่เรียกกันว่า ซุก (Souk) มากกว่า 8 พันตรอก คืออาจจะหลงได้แบบไม่รู้ตัว เพราะแต่ละซอยเหมือนกันไปหมด
ไกด์พาพวกเรามาซื้อผ้าโพกหัวสำหรับไปทะเลทรายพรุ่งนี้ค่ะ ตกผืนละ 400-500 บาทค่ะ
สำหรับอาหารค่ำมื้อนี้ ค่อนข้างจะพิเศษสุดๆ เพราะทัวร์จัดให้พวกเราไปกินร้านอาหารสุดหรู (ถ้าเทียบกับที่ไทย ก็เหมือนพาไปกินขันโตกที่เชียงใหม่อะค่ะ 555) ตอนดูเมนูแอบช็อคไปนิดนึง เพราะราคาค่อนข้างสูง ตกหัวละพันบาท กินเป็นรึเปล่าก็ยังไม่รู้ อาหารที่สั่งมา หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ กินไม่เป็นซักจาน
อาหารเค้าก็จะค่อยๆเสริฟ พร้อมกับมีการแสดงต่างๆมาให้ดูค่ะ ก็ตื่นตาตื่นใจอยู่ค่ะ
จานนี้เป็นเคบับเนื้อค่ะ รสชาติก็คือเนื้อเสียบไม้ย่างดีๆเนี่ยแหละค่ะ
คืนนี้เราพักที่ริยาดกันค่ะ ชื่อว่า Palais De Fes ตั้งอยู่ใจกลางเมดินาเลยค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปห้องนอนให้ดูเพราะแสงน้อยค่ะ
วันที่ 3 เดินทางไปทะเลทรายซาฮาร่ากันดีกว่า
เช้าวันนี้ ที่พักมีจัดอาหารเช้าให้เราขึ้นไปทานบนดาดฟ้าของริยาดค่ะ วิวดีมาก เห็นวิวเมืองทั้งหมดเลยค่ะ
จากนั้นเราก็เดินทางไปกันที่เมือง Merzouga ดินแดนแห่งทะเลทรายกันค่ะ ระหว่างทางก็จะผ่านเมือง Ifrane ซึ่งเค้าว่ากันว่าเป็นสวิซเซอร์แลนด์ในโมรอคโค บรรยากาศก็เหมือนอยู่ในยุโรปค่ะ เป็นเมืองเล็กๆเงียบสงบ น่ารักดีค่ะ
ลูกพี่เร่งทำเวลาไปส่งพวกเราที่เมือง Erfoud เพื่อส่งเราให้กับคนขับรถอีกคน และให้พวกเราย้ายไปนั่งรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อแทนค่ะ เค้าแวะซื้อน้ำขวดลิตรให้พวกเราคนละ 2 ขวด สำหรับคืนนี้ ขับออกจากเมือง Erfoud ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงทะเลทรายละค่ะ
ตื่นตะลึงกับความสวยงามมาก
เค้าให้เวลาพวกเรา 10 นาทีในการเก็บของ และเตรียมของที่จะใช้ในคืนนี้ เค้าบอกว่าที่นั่นมีแค่ห้องน้ำไว้ปลดทุกข์ได้อย่างเดียวนะ ไม่ต้องเอาอะไรไปเยอะ เราก็เลยเอาแค่เสื้อผ้าไป 1 ชุด กับโฟมล้างหน้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน และน้ำดื่ม
น้องอูฐมานั่งรอพวกเราค่ะ
จากนั้นก็ไปขี่อูฐกันค่ะ แต่ละกลุ่มจะมีประมาณ 6-7 คน ซึ่งจะมีไกด์ท้องถิ่นเดินจูงอูฐตัวหน้าอยู่คนเดียว และอูฐตัวอื่นๆก็จะเดินตามเป็นขบวนค่ะ ตอนขึ้นไปตอนแรกตื่นเต้นมาก เกร็งไปหมด มือนี่จับไว้อย่างแน่นเลย แต่พอนั่งไปซักพัก ก็รู้ว่ามันไม่ตกหรอก ก็เลยเริ่มปล่อยมือ ถ่ายรูปเล่นกันค่ะ
นั่งอูฐอยู่สักพัก (ประมาณเกือบ 2 ชม. จริงๆแล้วนานมาก เมื่อยมากกกก) ก็ถึงที่พักของเราค่ะ ตอนนั้นก็ประมาณสามทุ่มแล้ว สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือกระโจมประมาณ 8 หลัง ทุกอย่างมืดไปหมด มองอะไรไม่เห็นเลย
นี่มันยิ่งกว่าเข้าค่ายลูกเสืออีก (ไม่เคยไปหรอกนะคะ เคยไปแต่ค่ายเนตรนารี ฮ่าๆๆ) เราว่าไปนอนเต๊นท์ตอนไปหมู่เกาะสุรินทร์โหดแล้ว อันนี้โหดกว่า โฟมล้างหน้า กับแปรงสีฟันที่เตรียมมานี่ไม่ต้องพูดถึง เก็บไปเลยค่ะ ไม่ได้ใช้หรอกค่ะ
มาค่ายลูกเสือทั้งที่ก็ต้องมีกิจกรรมรอบกองไฟ ทุกคนก็ร้องเพลงประจำชาติตัวเองกันทั้งคืนค่ะ
วันที่ 4
เราตื่นตั้งแต่ตี 5 ที่ตื่นเพราะอยากเข้าห้องน้ำ ก็เลยตื่นเลย ตอนนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นค่ะ ถ่ายภาพเต้นท์มาให้ดูกันค่ะ
ไกด์แนะนำให้เดินขึ้นไปบนภูเขาทรายสูงๆ เพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ ขอบอกว่ามันเหนื่อยมาก ยิ่งเดิน เท้าก็จมลงไปกับทราย เหนื่อยยิ่งว่าวิ่งมาราธอนอีก พอขึ้นไปถึงด้านบน วิวที่เห็นก็เป็นเช่นนี้ค่ะ เหนื่อยขนาดนี้มันต้องได้เห็นอะไรแบบนี้สิ ถึงจะคุ้มค่าหน่อย
จากนั้นก็ถึงเวลานั่งอูฐกลับกันค่ะ ขอถ่ายรูปกับน้องอูฐซักภาพ
ขากลับรู้สึกว่าเร็วกว่าขาไปแฮะ หรือว่าชินแล้วนะ
พอกลับถึงที่พักก็ไปทานอาหารเช้าที่เค้าจัดไว้ให้ และได้เวลาชำระล้างร่างกายกันซักที จากนั้นคนขับก็พาพวกเรากลับไปหาลูกพี่กันค่ะ ตอนนี้คิดถึงรถอันแสนสบายของลูกพี่มากเลย พอเจอลูกพี่ปุ๊บเหมือนได้กลับมาสู่อ้อมกอดของพ่อ แทบอยากจะกระโดดกอดทันที 555
จากนั้นลูกพี่ก็พาพวกเรามุ่งหน้าไปที่เมืองวอซาเซท (Ouarzazate) เมืองแห่งการถ่ายทำหนังฮอลลีวูด ระหว่างทางก็จะผ่าน Todra Gorges ซึ่งเป็นช่องเขาขนาดใหญ่ที่มีลำน้ำไหลผ่าน เหมาะแก่การถ่ายรูปชิคๆมาก แวะถ่ายรูปได้ซักครึ่งชั่วโมงก็เดินทางกันต่อค่ะ
ข้างทางก็จะมีคนขายเสื้อผ้า และ พรมต่างๆ โทนสีเข้ากันกับสถานที่มากๆค่ะ
ที่พักเราคืนนี้เป็นโรงแรม 4 ดาวค่ะ ใหญ่โต สะดวกสบายกว่าเมื่อคืนมาก นอนหลับกันยาวๆเลยค่ะ
วันที่ 5 Ouarzazate – Ait Ben Hadou – Marrakech
วันนี้เราจะไปปดูสถานที่ถ่ายทำหนังฮอลลีวูดกันค่ะ ความจริงมีโรงแรมหลายที่ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำ แต่ลูกพี่พาเราไปที่ที่ใหญ่ที่สุดค่ะ ชื่อว่า Atlas Film Studio ค่ะ เสียค่าเข้าคนละ 50 DH
ด้านในจะมีฉากอลังการเต็มไปหมด
เหมือนอยู่อียิปต์เลย มาที่เดียวคุ้มจริงๆ
จากนั้นเราก็เดินทางไปกันต่อที่เมืองไอท์ เบนฮาดดู (Ait Ben Hadou) เพื่อจะไปที่ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Hadou) ป้อมหินทรายอันงดงามและใหญ่ที่สุดในโมร็อคโคภาคใต้กันค่ะ
ป้อมนี้เป็นทั้งเมืองที่อยู่อาศัยและป้อมปราการที่ป้องกันภัยจากศัตรูค่ะ
ปัจจุบันจะเหลืออยู่ไม่กี่ครอบครัวที่ยังคงอาศัยอยู่ที่นี่ ก็จะมีอาชีพขายของที่ระลึกบริเวณป้อมเป็นหลักค่ะ
อยู่ที่ไหนก็ชอปได้ค่า 555
Magnet ทำจากโคลนดินแห้งสีแดงค่ะ
หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับมาที่เมืองมาราเกซอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวกลับอิตาลีพรุ่งนี้ค่ะ คืนนี้ลูกพี่ปล่อยให้พวกเราเดินชอปปิ้งเองที่จัตุรัสจามา เอล ฟานา (Djemaa el-Fna) ซึ่งเป็นจตุรัสกลางเมืองที่มีขนาดใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยตลาดและมีการแสดงโชว์เต็มไปหมด
อย่าเผลอไปถ่ายรูปพวกเค้าเชียวนะคะ ไม่งั้นคุณจะโดนเก็บเงินได้ พวกเราก็ไปเดินชอปปิ้งซื้อของฝากกัน ของที่ขึ้นชื่อเมืองนี้ก็จะเป็นพวกเซรามิก น้ำมันอาร์แกน (Argan oil) ชามินท์ พรม เครื่องหนัง ฯลฯ เพลิดเพลินมากเลยทีเดียวค่ะ
มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอค่า มีแต่ของน่ารักเต็มไปหมด
คืนนี้เราพักกันที่ริยาดที่เราเป็นคนแจ้งขอทางทัวร์ไว้ค่ะ ชื่อว่า Riad La Porte Rouge ที่พักที่นี่น่ารักดีค่ะ สะอาด ที่พักสวย Location ดีทีเดียวค่ะ
และก็ได้เวลาอำลาประเทศที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แล้วค่ะ เราพูดได้เต็มปากเลยว่าเราประทับใจกับประเทศนี้มาก เป็นที่ที่เต็มไปด้วยสีสันและเสน่ห์ที่ชวนหลงไหลเต็มไปหมด จากที่ไม่เคยมีความคิดเลยว่าจะมา รู้สึกไม่ผิดหวังเลยจริงๆที่ตัดสินใจมา กลับคิดว่าคุ้มค่ามากกับการตัดสินใจครั้งนี้ ถ้ามีโอกาสเราอยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสเองจริงๆค่ะ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือพวกเราประทับใจทัวร์ของ Best of Morocco Tour มาก โดยเฉพาะลูกพี่ ที่ดูแลพวกเราดีมากๆ จริงๆค่ะ แนะนำเลยค่ะ
สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด 5 วัน
ค่าตั๋วเครื่องบิน 21500 + 12000 = 33500 บาท
ค่าวีซ่า 800 บาท
ค่าทัวร์กับ Best of Morocco Tour คนละ 650 USD (22500 บาท)
ค่า SIM 1 GB 15 USD (520 บาท)
ค่าอาหารกลางวันที่จ่ายเอง 5 มื้อ คนละ 2000 บาท
ค่าชอปปิ้ง ประมาณ 2000 บาท
รวมทั้งหมดประมาณ 62500 บาท (ไม่รวมค่าเที่ยวที่อิตาลีนะคะ)
น่าไปมากๆเลยครับ 😀
ทัวร์โมร๊อคโค
สวัสดีครับ
1. ถ้าจาก lisbon มา จะมาลงที่ Casablanca ก็ได้ครับ หรือ Marakesh ก็ได้ครับ
2. ทัวร์ ชื่อว่า Best of Morocco ครับ https://www.facebook.com/bestofmoroccotour/ ติดต่อ คนชื่อ Sad นะครับ บอกว่ามาจาก Nuttapon เดียวผมจะบอกเค้าไว้ก่อนนะครับ
ขอบคุณครับ 🙂
ขอบคุณมากนะคะ เราติดต่อขอคำแนะนำจากไกด์พูดไทยได้ไม๊คะ
อีเมล์ของเจ้าของบริษัท นะครับ ติดต่อเค้าที่นี่ก็ได้ครับ a.sad@bestofmoroccotour.com
พี่กำลังจะไปเที่ยวโมร๊อคโคต้องการติดต่อทัวร์ที่ลูกพี่พาเที่ยว ที่โทรคุยกันกับน้อง ขอบคุณมากๆที่ให้คำแนะนำ รบกวนขอจ้อมูลติดต่อด่วนนะคะ มีแผนคร่าวๆ จะเดินทางวันที่20นี้ ไปสเปน โปรตุเกสเข้าโมร๊อคโค วันที่ 29ตค-2พย62 ถ้าพี่ไปถึงมาราเกซวันที่29ประมาณเที่ยง เที่ยวมาราเกซ 1วัน นอน มาราเกซ
วันที่30เที่ยวซาฮ่ารา นอน ที่ซ่าฮารา
วันที่31 กลับคาซ่าบลังก้า
วันที่1เที่ยวคาซ่าบลังก้า
กลับ กทม วันที่2ค่ะ
ถ้ามี อะไรเพิ่มเติมติดต่อสอบถามผมทาง facebook page ก็ได้นะครับ https://www.facebook.com/vacationisty
ขอบคุณครับ